" ถอน...ไส้ตะเกียงออก
แสงสว่างก็ ดับแล้ว
ถ้าถอนตัวเราออกจากสมมุติ อันนั้นเสียแล้ว
มันก็เหมือน ถอนไส้ตะเกียงออก
แสงสว่างก็ ดับหมด
เราถอนตัว ออกมา
สำคัญว่า เป็นตัว เป็นตน เป็นเรา เป็นเขา
กูดี กูชั่ว กูโง่ กูฉลาด ถอนมันทิ้งเลย
อย่า...ให้มีในที่นั้น
อาการต่าง ๆ ก็ดับไป
เหมือนกันกับ ไส้ตะเกียง
ถอนออก...ดู
ความสว่าง ก็หายหมด
ข้างนอก มันอาศัยไส้ตะเกียง กับไฟเป็นอยู่
มันอาศัยตัวเราว่า ตัวกู ของกูนี้แหละ
ตัวเขา ตัวเรานี้แหละ เข้าไปหมายไว้
ถ้าสุข ก็ว่าเราสุข
ถ้าทุกข์ ก็ว่าเราทุกข์
เป็นอะไร ก็ว่าเราเป็นอันนั้นแหละ
เอาเรา ไปใส่ไว้ที่นั้น นี้แหละ
มันจึงเป็นเหตุให้ เกิดทุกข์ไปรอบด้าน
เพราะ...ธรรมนั้นเป็น อนัตตา
ไม่ใช่...เรา
เราเอา เราเข้าไปใส่ ขืนดื้อเข้าไปใส่นี้
เรียกว่า...ประมาท
จะไปถอน ที่ไหนล่ะ ? ถอนไม่ได้
เพราะ...ไปหมายมั่นเข้าไป
ให้รู้...ตามเป็นจริง
ก็ถอนความเห็นนั้น ออกมาเสีย
ถอนความเห็นผิด ออกซะ
เอาความเห็นถูก เข้าไปใส่ไว้
สงบ...
ท่านหมายถึง...ว่าง ว่างจึงว่า ความสงบ
สงบจาก สุข หรือทุกข์ อันนั้น
ที่นั้น...ว่าง
จากสุข ทุกข์ ที่สงบหมด
เรื่องแก้ไข ไม่มี ที่แก้ไขมันอีก
ถึงความสงบแล้ว
หมดสังขาร ที่จะเข้าปรุง เข้าแต่งมัน
จะปรุงแต่งได้เพราะ....มีตัว มีตน มีเรา มีเขา
มีสุข มีทุกข์ เท่านั้น
ถ้า...ถึงที่นั้นแล้ว
ไม่มี ที่แก้ไขแล้ว หมดที่แก้ไข
ดังนั้น ธรรมนั้นจึงเป็นธรรมที่เป็น ปัจจัตตัง
เวทิตัพ โพ วิญญูหิ วิญญูชนจะรู้ได้เฉพาะตน
เหมือนกัน กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือสาวกของ องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้
เข้าไปเห็นแล้ว
เป็นของรู้เฉพาะตนเอง
ธรรมนั้น ประกาศไม่ได้
ธรรมนั้น แสดงไม่ได้ เอาให้ไม่ได้
ธรรมนั้น เป็นปัจจัตตัง
ใครเข้าถึงก็...เห็นเอง รู้เอง."
_______________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
http://www.techcotruck.com