ขโมย....... ตอนที่ 2
ตำรวจพยายามค้นหาทุกซอกทุกมุม
เพราะเชื่อว่ามีคนอยู่ในบ้านแน่นอน ในที่สุด
ก็เจอผู้หญิงคนนั้นซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้า
เธอยอมรับว่าเป็นขโมย และที่น่าแปลก
ก็คือเธอบอกว่าอยู่ในบ้านของผู้ชายคนนั้น
มาสองเดือนแล้ว เธอไม่ได้ไปไหนเลย
ซ่อนตัวอยู่แต่ในบ้านตลอดเวลา
เพราะว่าเป็นคนจรจัด เร่ร่อน
เธอเล่าว่าวันหนึ่งเห็นประตูบ้านหลังนี้เปิดอยู่
ก็เลยเข้าไป แล้วก็ซ่อนตัวอยู่ในตู้เสื้อผ้า
เวลาเจ้าของบ้านออกไปทำงาน เธอก็ออกมาอาบน้ำ
กินข้าว พอเจ้าของบ้านกลับมา
ก็ซ่อนตัวอยู่ในตู้เหมือนเดิม
ผู้ชายคนที่เป็นเจ้าของบ้าน
นึกว่าเขาอยู่คนเดียวในบ้านมาโดยตลอด
แต่ที่แท้ก็มีคนอยู่ในบ้านกับเขาด้วย
เพราะฉะนั้นพวกเราเวลาอยู่คนเดียว
ก็ต้องแน่ใจนะว่าอยู่คนเดียว ไม่มีใครอยู่กับเราด้วย
ผู้ชายคนนี้หลงคิดว่าขโมยอยู่นอกบ้าน
จึงคิดแต่จะป้องกันไม่ให้คนภายนอกเข้ามา
แต่ไม่ได้เฉลียวใจเลยว่าที่จริงแล้วขโมยอยู่ในบ้าน
และซุกซ่อนอยู่ใกล้ตัวเขามาตลอด
ที่จริงไม่ใช่แต่ผู้ชายคนนี้
ตัวเราก็มีขโมยอยู่ข้างในเหมือนกัน
เวลาเรากินอาหารเข้าไป แทนที่สารอาหาร
จะเข้าไปเลี้ยงร่างกายเรา
มันกลับถูกขโมยไปเลี้ยงพยาธิ
หรือไม่ก็ไปเลี้ยงเซลล์มะเร็งจนเติบใหญ่เป็นก้อน
อันนี้ก็เป็นการขโมยเหมือนกัน
คือขโมยสุขภาพของเราไป
ไม่ใช่แค่สิ่งภายนอกเท่านั้น
ที่ทำให้สุขภาพของเราแย่
บางทีตัวการที่บั่นทอนสุขภาพเรา
ก็อยู่ในร่างกายของเรานี้เอง
แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือสิ่งที่ขโมยความสุขไปจากเรา
ซึ่งไม่ได้อยู่ข้างนอก ตัวขโมยความสุขจริง ๆ
อยู่ข้างใน ไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก อยู่ในใจเรา
เราอย่าไปคิดว่าเป็นเพราะเจ้านาย
เป็นเพราะเพื่อนร่วมงาน
หรือว่าเป็นเพราะนักการเมือง หรือว่าเพื่อนบ้าน
ที่ทำให้เราไม่มีความสุข หรือทำให้ความสุขของเรา
ลดน้อยถอยลง ที่จริงแล้วความสุขหายไป
ก็เพราะว่าขโมยที่อยู่ในใจเรานั้นเอง
คือกิเลสและอารมณ์ต่าง ๆ ที่ครอบงำใจเรา
ถ้าใจเราเปิดให้อารมณ์ต่าง ๆ เข้ามาครองใจ เช่น
ความโกรธ ความเศร้าเสียใจ ความหดหู่
ความอิจฉา ความน้อยเนื้อต่ำใจ เราก็ไม่มีความสุข
สิ่งเหล่านี้คือตัวการที่ขโมยความสุขไปจากเรา
ไม่ใช่คนอื่น ไม่ใช่ใครที่อยู่ข้างนอก
แต่ว่ายังไม่สายที่เราจะไล่ขโมยเหล่านี้
ออกไปจากใจของเรา วิธีการก็คือ
ทำใจของเราให้มั่นคง
เข้มแข็ง ไม่เปิดให้อารมณ์ต่าง ๆ เข้ามาครอบงำได้
จะทำอย่างนั้นได้ก็ต้อง "ปลูกสติขึ้นมารักษาใจ"
สติเปรียบเหมือนยามเฝ้าบ้าน เป็นผู้รักษาประตูเมือง
บ้านหรือเมืองก็คือใจ สติจะเป็นยามรักษาใจไม่ให้
ขโมยหรือโจรผู้ร้ายเข้ามาก่อกวนจิตใจ
หรือขโมยความสุขไปจากใจเรา ถ้าเรามีสติดี
เราจะไม่ปล่อยใจไปตามอารมณ์ ทุกวันนี้เราทุกข์
เพราะเราปล่อยใจไปตามอารมณ์
หรือปล่อยให้อารมณ์ต่าง ๆ
เข้ามาครอบงำ ไม่รู้จักปล่อย ไม่รู้จักวาง
หมกมุ่น ครุ่นคิดอยู่กับสิ่งต่าง ๆ จนเป็นทุกข์
แต่ถ้าเรามีสติ
เราก็จะรู้ตัวว่าตอนนี้อารมณ์เข้ามาครอบงำใจ
หรือกำลังขโมยความสุขไปจากเรา สติช่วยให้
เรารู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น เหมือนกับเจ้าของบ้าน
ที่เห็นขโมยกำลังยุ่มย่ามอยู่ในบ้าน ขโมยนั้น
พอรู้ว่าเจ้าของบ้านรู้ทัน มันก็จะหนีไปเอง
ไม่ยอมอยู่ให้ถูกจับง่าย ๆ
การปฏิบัติธรรมก็คือการสร้างสติหรือ
ธรรมะมารักษาใจ
ซึ่งก็ช่วยทำให้เรามีความปกติสุขได้
เวลามีอะไรมากระทบหรือเวลามีเหตุร้ายเกิดขึ้น
มันก็กระเทือนได้แต่ภายนอก อาจจะทำให้ทรัพย์สมบัติของหายไป แต่ก็ไม่ทำให้เราทุกข์ใจ อาจจะทำให้เราเจ็บป่วย แต่มันก็หยุดอยู่แค่กาย
ไม่ทำให้ใจเป็นทุกข์ด้วย
แม้จะมีคนตำหนิ ต่อว่า คำตำหนิต่อว่านั้นก็เป็นเพียงแค่เสียงที่มากระทบกับหู แต่ว่ามันไม่สามารถทิ่มแทงใจเราได้ ทั้งนี้เพราะว่าเรามีสติคอยเป็นยามรักษาใจของเรา
การปฏิบัติธรรมก็คือการเสริมสร้างสติปัญญา
รวมทั้งสมาธิและคุณสมบัติอื่น ๆ ในฝ่ายบวก
ให้เกิดขึ้นในใจเรา เพื่อที่เราจะสามารถ
มีความสุขได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่สุขกายเท่านั้น
แต่สุขใจด้วย แม้ในยามที่กายทุกข์
แต่ว่าใจก็ยังเป็นสุข ในยามที่เจอความพลัดพราก
สูญเสียใจก็ไม่หวั่นไหว เพราะรู้ว่ามันเป็นธรรมดา
หรือเพราะรู้ว่าถ้าปล่อยใจให้ทุกข์
ก็มีแต่จะซ้ำเติมตัวเอง
เมื่อจะเสียก็เสียอย่างเดียว จะไม่ยอมเสียสองอย่าง
เสียคนรักก็เสียแค่นั้น แต่ว่าใจไม่เสีย
สุขภาพไม่เสีย ยังเป็นผู้เป็นคนอยู่ได้
ก็ทำให้เราอยู่ได้อย่างมีความสุข
นี่คือสิ่งที่จำเป็นต้องมี
เราอย่าไปคิดว่าจะสามารถป้องกันไม่ให้เหตุร้าย
เกิดขึ้นกับเราได้ในทุกเรื่อง
บางคนมีความหวังอย่างนั้น
พยายามทำบุญทำทาน เข้าวัดเป็นประจำ
ด้วยความเชื่อว่า บุญนั้นจะช่วยปกป้อง
ไม่ให้เกิดเหตุเภทภัยได้
ตอนนี้หลายคนก็ไปทำบุญ เพราะหวังว่า
จะไม่เกิดภัยพิบัติขึ้น
ในปีนี้เหมือนอย่างปีก่อน บุญนั้นช่วยได้ก็จริง
แต่ก็ไม่สามารถที่จะป้องกัน
เหตุร้ายได้ ๑๐๐ เปอร์เซนต์
ขนาดคนที่มีบุญมากมายอย่างพระอรหันต์
หลายท่านหรือแม้แต่พระพุทธเจ้า
ก็ยังต้องเจอกับเหตุร้าย แล้วเราเป็นแค่ปุถุชน
ไม่ว่าเราจะทำบุญแค่ไหน
บุญก็ไม่สามารถจะเป็นทำนบหรือกำแพง
ป้องกันเหตุร้ายได้ ๑๐๐ เปอร์เซนต์
มันก็คงมีที่ทะลักหรือเล็ดรอดเข้ามาถึงตัวเราบ้าง
ตรงนี้แหละที่เราต้องอาศัยใจที่ฉลาด
ในการป้องกันไม่ให้ความทุกข์มาแผ้วพาน
หรือมาทำร้ายได้ ก็เหมือนกับการที่
เราพยายามป้องกันน้ำท่วม
ไม่ว่าจะป้องกันอย่างไร ก็ต้องเผื่อใจไว้
ว่ามันอาจจะล้นข้ามทำนบมาได้
แต่ไม่ว่ามันจะมาอย่างไรเราก็สามารถรับมือกับมันได้
เพราะว่าเราไม่ได้เตรียมแต่ตัวหรือเตรียมการป้องกัน
ด้วยวัตถุเท่านั้น แต่เรายังป้องกันที่จิตใจของเราด้วย
ถ้าเข้าใจตรงนี้ก็จะมีคำตอบ
ว่าทำไมต้องมาปฏิบัติธรรม
คนที่เข้าใจความจริงของชีวิตจะไม่ถามด้วยซ้ำ
ว่าทำไมต้องปฏิบัติธรรม
เพราะเขารู้ว่าอนาคตมันก็ไม่แน่
การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกับการเตรียมพร้อมอยู่เสมอ
อย่างที่เขาพูดว่า “ยามสงบเราฝึก ยามศึกเรารบ”
ไม่ใช่ว่าต่อเมื่อเกิดสงครามแล้วค่อยมาฝึกกัน
ประเทศใดที่ทหารเริ่มมาฝึกซ้อมกัน
เมื่อเกิดสงครามแล้ว ประเทศนั้นก็คงถูกยึดครอง
หรือพ่ายแพ้ต่อศัตรูเป็นแน่ ทุกประเทศจึงต้องฝึกในยามสงบ ฝึกอย่างจริงจัง
เพื่อว่าพอเกิดสงครามจะได้รับมือกับมันได้ทันท่วงที
ชีวิตของคนเราก็ต้องเจอกับสงครามเช่นกัน
คือสงครามชีวิต ไม่มากก็น้อย ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
แต่ขณะที่ชีวิตยังสงบราบเรียบ
เราก็ต้องฝึกเอาไว้ก่อน
เราฝึกเพื่อพร้อมรับมือกับเหตุร้ายที่เข้ามาในชีวิต
ไม่ใช่สู้กับใคร ไม่ได้สู้กับสิ่งภายนอก
สิ่งสำคัญคือสู้กับสิ่งภายใน คือสู้กับกิเลส สู้กับความหลงที่คอยก่อความทุกข์ให้แก่ใจเรา
สารโกมล กันยายน-ตุลาคม ๒๕๕๖
รักษาใจ อย่าให้ความสุขถูกปล้น
พระไพศาล วิสาโล
http://www.techcotruck.com